อื่นๆ

ตายแล้วไปไหน

 

          กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของและสิ่งมีชีวิตก็หมุนเวียนเปลี่ยนไป ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมอยู่ในสัจธรรม คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อันนี้เป็นความจริงของชีวิต

          เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างหมุนเปลี่ยนไปเช่นนี้ การดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็วิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปด้วย จากตะเกียงมาเป็นไฟฟ้า การงานทุกสิ่งทุกอย่างมีการเอาเทคโนโลยีมาช่วยทำให้งานสะดวกขึ้น ไม่เหมือนเมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ที่ใช้แต่กำลังกาย การสัญจรก็รวดเร็วขึ้น มีเครื่องบินที่มนุษย์พัฒนาสร้างขึ้น การอุปโภคบริโภคก็มีระเบียบแบบแผน มีความเหมาะสมและปลอดภัยมากขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นผลมาจากความคิดของมนุษย์ทั้งนั้นและจะคิดต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด

          ทุกวันนี้จึงมีนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย นักอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด รู้ไหมว่าเขาคิดกันทำไม เพราะอะไรเขาจึงคิด จึงพิสูจน์ ก็เพราะการเกิดขึ้นของชีวิตนี่แหละ ที่ต้องคิดว่ามนุษย์เกิดมาได้อย่างไร หรือพูดให้กว้างว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดได้อย่างไร อะไรคือสาเหตุทำให้เกิด เกิดมาแล้วเป็นอย่างไร และทำอย่างไรจะทำให้ชีวิตที่เป็นอยู่มีความเป็นอยู่ที่ดี

 

          จะเห็นได้ว่ามนุษย์เรามีความสามารถเรียนรู้สิ่งแวดล้อมและชีวิตว่ามีความเป็นมาอย่างไร จนเอามาพูดมาสอนกันอย่างกว้างขวาง แต่ผลของการสรุปว่าชีวิตเกิดมาจากไหนและตายแล้วไปไหน เวลาไปไปอย่างไรก็ยังคลุมเครืออยู่

          ถึงการเป็นอยู่ของมนุษย์จะดีขึ้น แต่จิตใจของมนุษย์เราทุกคนก็ยังคงทุกข์อยู่และดูจะทุกข์กว่าสมัยก่อนนั้นมาก ยิ่งวัตถุสิ่งของเจริญมากเท่าไร คนก็มีความทุกข์ยากมากเท่านั้น และทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะจิตใจของมนุษย์ยังไม่พัฒนาแต่กลับถูกปล่อยปละละเลย ไม่ดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพเดิม มีแต่ขนเอาวัตถุสิ่งของมาทับถมให้จิตใจเรารุงรังเต็มไปหมด คือ ยึดวัตถุด้วยความอยาก มันจึงเป็นทุกข์

          หากมีสติปัญญา ถึงวัตถุจะมีมากเท่าไรก็ไม่เป็นทุกข์ จะเห็นว่าจิตใจของคนเราขาดสติปัญญา ไม่รู้จักใช้ปัญญาให้มีในจิตใจ ชีวิตจึงเป็นทุกข์และจะทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุดด้วย จะเห็นว่าคนเราทุกวันนี้ เวลามีปัญหาอะไรแก้ไขไม่ได้ก็คิดฆ่าตัวตาย กินยาตาย ผูกคอตาย จะได้พ้นทุกข์ที่เป็นอยู่ มันถูกต้องแล้วหรือ ? สมควรหรือเปล่าที่มนุษย์ทำเช่นนั้น คิดหรือว่าความสุขที่แท้จริงคือการตายจากปัญหา ถ้าเช่นนั้นพระพุทธเจ้าทำไมท่านถึงไม่ทำก่อนล่ะ

          พระองค์สอนว่า ชีวิตคือความทุกข์จริง แต่พระองค์ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่า ชีวิตคือความสุข ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีเหตุมีผลอยู่ในตัวของมันเอง จะอุปมาชีวิตเหมือนโคลนเกิดจากน้ำฉันใด น้ำนั่นแหละที่จะชำระล้างโคลนได้ จิตใจของเราก็เหมือนกัน เมื่อความทุกข์นั้นเกิดกับจิตหรือใจ ก็จิตใจนั่นแหละที่จะชำระล้างทุกข์ได้ ความสุขก็เกิดกับใจนั่นเอง

        

  พระพุทธองค์ทรงสอนว่า กรรมคือผู้แยกแยะสัตว์ ชีวิตจะสุขหรือทุกข์ก็เกิดจากการกระทำของมนุษย์เอง มนุษย์ที่สมบูรณ์จะต้องมีใจสูง มีศีลมีธรรมคู่กับจิตใจ ไม่ฆ่ากัน ไม่เบียดเบียนกันด้วยการกระทำต่างๆ ไม่ว่าทางกาย วาจาหรือใจ ควรจะอยู่ด้วยกันอย่างมีเมตตากรุณาต่อกัน

          คนเราจะสมบูรณ์ขนาดนั้นจะต้องรู้ค่าของชีวิตก่อน และที่สำคัญคือ ต้องรู้จักตัวเอง รู้จักรักษาชีวิตตนเอง เมตตาตนเอง อันนี้คือภูมิคุ้มกันชีวิตที่จะไม่คิดฆ่าตัวตาย คนยุคใหม่เขานึกกันว่าเมื่อมีปัญหา เมื่อหมดหนทางก็ฆ่าตัวตาย อาจจะทำให้เป็นสุขได้บ้าง หรือพ้นทุกข์พ้นปัญหาไป

          แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น มนุษย์และสัตว์โลกอื่นๆต่างก็มีกรรมเป็นตัวกำหนดให้มาเกิดหรือให้ตายด้วยกันทุกคน อย่างเช่นกรรมเขากำหนดให้นายแดงเกิดมามีอายุ 62 ปีแล้วตาย แต่บังเอิญนายแดงด่วนไปฆ่าตัวตายเสียก่อนตอนเขามีอายุ 32 ปี อายุที่นายแดงยังเหลืออยู่ ก็จะตามไปทำให้นายแดงต้องไปเป็นสัมภเวสีหรือโอปปาติกะ หรือวิญญาณพเนจร อดอยากอยู่ในโลกของวิญญาณต่ออีก 30 ปี

        เมื่อรวมอายุของนายแดงระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่กับอายุที่ตายไปเป็นสัมภเวสีในโลกวิญญาณอีก 30 ปีเป็น 62 ปีเมื่อใด วิญญาณของนายแดงจึงจะไปเสวยผลกรรมดี กรรมชั่วในนรกหรือสวรรค์ได้

          หากวิญญาณของนายแดงยังอยู่ไม่ครบ 62 ปีตามที่กรรมกำหนด วิญญาณของนายแดงก็จะยังไปเกิดหรือไปรับผลบุญผลกรรมอะไรบนสวรรค์หรือนรกอะไรไม่ได้

 

          ในช่วงที่วิญญาณของนายแดงยังวนเวียนอยู่ในโลกของวิญญาณ จะไปเกิดก็ไปไม่ได้ จะไปเสวยสุขบนสวรรค์ก็ไปไม่ได้ จะไปรับกรรมในนรกก็ไปไม่ได้นั้น วิญญาณของนายแดงจะต้องร่อนเร่พเนจร อดๆอยากๆ หิวโหยแสนสาหัส เห็นมนุษย์ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง เห็นญาติพี่น้องก็พูดกันไม่ได้ยิน เห็นอาหารการกินก็กินของเขาไม่ได้ ต้องคอยไปแย่งเขากินตามงานที่เขามีการเซ่นไหว้ตามที่ต่างๆ บางทีไปเจอเจ้าที่เฮี้ยนกว่า มีพลังเหนือกว่าก็อดกิน จะรอกินจากญาติพี่น้องอุทิศแผ่ส่วนกุศลมาให้ ก็นานๆจะได้กินสักที ยิ่งมาสมัยใหม่ด้วยแล้วยิ่งมีโอกาสอดมากยิ่งขึ้น เพราะคนสมัยใหม่เขาไม่เชื่อ ไม่นิยมสร้างบุญทำกุศลกันแล้ว ถึงทำบุญทำกุศลกันบ้าง เขาก็ไม่กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลมาให้

          การตายก่อนกำหนดแบบนี้ เรียกว่า ตายเพราะกรรมตัดรอน คนที่ตายด้วยอุบัติเหตุต่างๆ ก็อยู่ในลักษณะเดียวกัน คือ ตายเพราะกรรมตัดรอนทอนอายุให้สั้นก่อนกำหนด ส่วนคนที่ตายเพราะโรคภัยไข้เจ็บ หรือร่างกายเสื่อมสภาพตายไปเองเฉยๆ เรียกการตายอย่างนี้ว่า ตายเพราะหมดภพหมดชาติ หรือ หมดกรรม

          การตายแบบนี้ ตายแล้วก็ไปรอลืมภพลืมชาติอยู่ในโลกของวิญญาณก่อน 108 วันตามเวลาของโลกมนุษย์ โบราณเขาจึงจัดให้มีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้กัน 7 วันบ้าง 50 วันบ้าง 100 วันบ้าง เพราะคนโบราณเขารู้และมีประสบการณ์ เชื่อว่าวิญญาณของคนตายยังไม่ไปไหน เมื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ในช่วงนี้ วิญญาณจะได้รับส่วนบุญส่วนกุศลกัน เมื่อวิญญาณลืมภพลืมชาติไปแล้ว วิญญาณก็จะไปเสวยผลบุญหรือผลกรรมที่ได้กระทำกันไว้ต่อไป

          คนที่ตายเพราะหมดภพหมดชาติหรือหมดกรรม เป็นการตายตามกรรมกำหนด วิญญาณช่วงที่ยังอยู่ในโลกวิญญาณเพื่อรอให้ลืมภพลืมชาติ จึงยังมีสิทธิและโอกาสที่จะไปเยี่ยมญาติพี่น้อง สามี ภรรยา ลูก หลานและเพื่อนฝูงได้ตามที่จิตต้องการ แม้การไปเยี่ยมเยียนครั้งสุดท้าย ฝ่ายมนุษย์จะต้องมองไม่เห็นทางวิญญาณ ก็สามารถทำเหตุบอกให้มนุษย์รู้ได้ว่าเขามาหาแล้ว เช่น มาปรากฎตัวให้เห็น หรือทำให้มีกลิ่นเหม็นหรือหอมไปกระทบจมูกของคนที่วิญญาณเขาต้องการไปหา

         

ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านเคยได้สังเกตกันไหม เวลาที่มีญาติหรือคนที่เรารักตายไปใหม่ๆ แล้วเรามานั่งพูดถึงเขากันที่บ้าน ทั้งๆที่เขาตั้งศพสวดกันที่วัด และอยู่ๆก็มีกลิ่นเหม็นๆมากระทบจมูก นั่นแหละวิญญาณของคนที่กำลังพูดถึงเขามาหาแล้ว หากใครได้เจอปรากฎการณ์ดังกล่าว ให้รีบกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้เขาเสียในตอนนั้นเลยจะดีมาก

          เมื่อพูดกันมาถึงตรงนี้ อาจมีบางท่านสงสัยว่า ทำไมญาติของเขาตายไปแล้วไม่เห็นมาเข้าฝันเขาบ้างเลย เหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะวิญญาณของคนที่เราต้องการให้เขามาเข้าฝันเขาไปแล้วน่ะซิ จะไปผุดไปเกิดหรือไปรับผลบุญผลกรรมบนสวรรค์ นรกอะไรนั้นมันอีกเรื่องหนึ่ง

          บางวิญญาณไม่ได้ไปผุดไปเกิดหรือไปรับกรรมดี กรรมชั่วอะไรในนรกสวรรค์ แต่หลงล่องลอยไปในที่ต่างๆจนลืมถิ่นฐานของเขาก็มี เลยทำให้ไม่ได้มาบอกกล่าวหรือเข้าฝันเรา ดังนั้นท่านที่มีญาติพี่น้องหรือคนที่เราเคารพนับถือตายไปแล้วไม่มาเข้าฝันเราเลย ก็อย่าไปคิดอะไรมาก คิดเสียว่าท่านเหล่านั้นได้ไปเกิดหรือไปเสวยสุขบนสวรรค์ก็ได้ หากเป็นห่วงกลัวว่าเขาจะไปลำบาก ก็สร้างบุญ ทำกุศลกรวดน้ำไปให้เขาบ่อยๆ ซิครับ

          เห็นหรือยังว่าการตายก่อนกำหนดนั้น มันไม่ได้ทำให้หมดทุกข์หมดปัญหาเหมือนอย่างที่เข้าใจกัน มีแต่จะยิ่งเพิ่มปัญหา เพิ่มทุกข์ให้กับวิญญาณมากยิ่งขึ้นไปอีก ขนาดเรายังเป็นๆหรือมีชีวิตอยู่ เรายังลำบาก เรายังได้รับความทุกข์ทรมานมากมาย ตอนเรายังไม่ตาย เรายังสามารถช่วยตัวเราให้ลดความทุกข์ต่างๆได้ เช่น ไปสร้างบุญทำกุศล รักษาศีล ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เวลาหิวก็พอจะดิ้นรนหามากินเพื่อบรรเทาความหิวกระหายได้ แต่ตอนเราตายไปเป็นสัมภเวสีนี่สิ มันลำบากและอดอยากกว่าตอนที่เรายังเป็นมนุษย์อยู่มาก

        

    เรื่องของกรรมเป็นเรื่องสลับซับซ้อน แล้วแต่ภูมิปัญญาบารมีของใครจะละเอียด สามารถเข้าใจเรียนรู้ได้หมด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงการให้ผลของกรรมเปรียบเสมือน โคที่ถูกต้อนเข้าคอก ตัวแล้วตัวเล่าที่เข้าคอกไปจนถึงตัวสุดท้ายที่อยู่ปากคอก ครั้นถึงเวลาปล่อยวัวออกจากคอก วัวตัวที่มันอยู่ปากคอกก็จะได้ออกก่อน

          กรรมของคนเราก็เหมือนกัน กระทำทุกอย่างไปไม่ว่าจะดีหรือจะเลว พอใกล้วินาทีสุดท้ายของชีวิต จิตไปผูกพันอยู่กับสิ่งใดหรือทำความชั่วความไม่ดีอะไรในตอนนั้น กรรมตัวที่กำลังจะตาย จะให้ผลก่อนหลังจากตายลง

          ทางพระท่านว่าอสัญกรรมให้ผลก่อน ฉะนั้นคนที่ฆ่าตัวตายด้วยจิตเป็นทุกข์ จึงเชื่อว่าจิตที่เป็นทุกข์หรือมีแต่ความชั่วของเขานั้น ขณะวินาทีสิ้นใจเขาจะไม่เป็นสุขแน่ สรณะที่พึ่งก็ไม่มี แม้แต่ก่อนตายยังไม่หาที่พึ่ง แล้วอะไรล่ะจะเป็นที่พึ่งเป็นเสบียงในยามนั้น อนิจจา…วิญญาณต้องร่อนเร่พเนจร อดๆอยากๆและหิวโหยแสนสาหัส ยากที่จะหาอะไรมาเปรียบได้

          บางครั้งสัมภเวสีพวกนี้ ร่อนเร่พเนจรไปสร้างกรรมทำเวรเพิ่มขึ้นด้วยการเข้าไปแทรกสิงอยู่ในตัวของมนุษย์ที่วิบากกรรมกำลังส่งผลอยู่ให้ตกต่ำเดือดร้อนต่างๆนานา บางคนก็คลุ้มคลั่งเสียสติไปเลย มีไม่น้อยที่ไปคอยกลั่นแกล้งทำให้สามีภรรยาเขาเลิกกัน หรือไม่ก็พรางหูพรางตาให้เขาค้าขายไม่ดี หรือไม่ก็ไปทำให้มนุษย์เขาเจ็บป่วย รักษากันเท่าไรไม่หาย เป็นต้น

          พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ขณะมีชีวิตอยู่อย่าประมาท จงสร้างกุศลไว้ให้มาก เพราะมันจะเป็นเสบียงเดินทางและพาสปอร์ตไปสู่สวรรค์ชั้นดีๆเมื่อความตายมาถึงจะได้ไม่ลำบาก และไม่ต้องอดอยากหิวโหย

          ชีวิตของคนเรามันช่างสั้นนัก เมื่อเกิดมาแล้วใช้เวลาทั้งหมดอยู่ในโลกนี้ เพียงชั่วครู่ชั่วยามก็ต้องจากไป ไม่เหลืออะไรทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังได้เชยชม นอกจากชื่อเสียงคุณงามความดีและบุญกุศลที่สร้างสะสมเอาไว้ เมื่อเราเกิดมากับเขาแล้วครั้งหนึ่ง ก็ควรทำคุณงามความดีและบุญกุศลเอาไว้ให้มากๆ นรกสวรรค์จะมีจริงหรือไม่จริงเราก็ยังไม่รู้ เพราะดวงตาของเรามืดบอดสนิทด้วยอวิชชา คือ ความไม่รู้

          เพราะฉะนั้นการทำคุณงามความดี เราไม่ต้องไปหวังว่าไม่ตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ เราทำความดี เพื่อความดี เพื่อยกระดับจิตวิญญาณของเราให้สูงขึ้นพ้นจากความชั่วได้ก็พอ

          ผลของการทำคุณงามความดี ทำให้ผู้ทำสบายใจ มีความสุข และที่สำคัญทำให้การอยู่ร่วมกันในสังคมมีความสุข ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน อานิสงส์ของการทำความดี เราจะเห็นได้ด้วยตาของเราเองภายในชีวิตนี้นี่แหละ

          ในช่วงชีวิตของเราทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ ต่างก็ได้ประสบพบเห็นดี ชั่ว ต่างๆมามากมาย ดีบ้าง เลวบ้าง ไปตามวิถีชีวิตของคนแต่ละคน ทุกคนต่างก็ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะพบแต่สิ่งดีๆในชีวิตของตนเองทั้งนั้น คงไม่มีใครอยากจะพบ อยากจะเจอสิ่งที่เลวร้ายในชีวิตของตนเอง แต่เราก็เลือกไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นจึงเป็นผลพวงมาจากกฎแห่งกรรมทั้งสิ้น

          ดังเรื่องราวของ คุณละออง ทองสุข คุณละอองได้เล่าให้ฟังว่า

          “เมื่อ 13 ปีที่ผ่านมา เธอมีน้องสาวคนหนึ่งผูกคอตาย เพราะทะเลาะกันกับพ่อด้วยเรื่องนิดๆหน่อยๆ ช่วงที่น้องสาวตายปีแรก ทุกคนในบ้านก็ทำบุญอุทิศให้เป็นการใหญ่ ทำกันจนทุกคนในบ้านคิดว่าวิญญาณของน้องสาวได้ไปผุดไปเกิดแล้ว ต่อมาเลยไม่ค่อยมีใครสนใจสร้างบุญทำกุศลกันเหมือนเมื่อครั้งที่เขาตายใหม่ๆ

       

       พอมาช่วงปี พ.ศ.2534 เธอก็ได้มารู้จักและได้มาเข้าพิธีกับอาจารย์วัลลภ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เธอดวงตกมาก ตกถึงขนาดทำอะไรก็ติดขัดไปหมด อะไรถึงคราวน่าจะได้กลับไม่ได้ บางสิ่งบางอย่างไม่น่าเสียก็เสีย สามีที่รักกันมากก็มามีเหตุทำให้ต้องเลิกกัน ทำงานอยู่ดีๆก็มีเหตุทำให้ต้องออกจากงาน เรียกว่า ช่วงนั้นเธอดวงตกแทบไม่มีอะไรเหลือเลย

          พอได้มาเข้าทำพิธีกับอาจารย์วัลลภ รอบแรกเธอบอกว่าเธอร้องไห้ออกมาเป็นการใหญ่ ร้องโหยหวนมาก ร้องไห้ไปบ่นไป บ่นว่าเขาลำบากมาก อดอยากทรมานเหลือเกิน พร้อมทั้งต่อว่าใครต่อใครไปทั่ว ไม่สร้างบุญทำกุศลไปให้เขาบ้างเลย ปล่อยให้เขาต้องอดอยากมานาน

          ตอนหนึ่งอาจารย์วัลลภถามเธอ ในขณะที่เธอกำลังแสดงอาการที่ไม่เป็นตัวของตัวเองออกมาว่า เป็นใคร มาจากไหน ต้องการอะไร จะให้ช่วยเหลือเรื่องอะไรก็บอกมา

          ปากของเธอก็พูดบอกอออกไปว่าเขาชื่อ แตน น้องสาวของละอองเอง ต่อจากนั้นก็รำพันพูดแต่ความทุกข์ทรมานที่เขาได้รับอยู่ตลอดเวลา พูดอยู่นานหลายชั่วโมง

          ในช่วงที่ถามกันไปพูดกันมาอยู่นั้น อาจารย์วัลลภก็ถามวิญญาณของคุณแตนว่า พอตายแล้วเป็นอย่างไร?

          วิญญาณของแตนก็บอกว่า พอเขาผูกคอตัวเองแล้วก็รู้สึกอึดอัดทรมานมาก ทรมานเหมือนตัวเองกำลังดิ้นรนให้หลุดออกจากอะไรก็ไม่รู้ ทั้งเหนื่อย ทั้งเจ็บปวดทรมาน แล้วมีอยู่ช่วงหนึ่งก็ผลุนผลันหลุดออกมาจากสิ่งที่ทำให้อึดอัด เจ็บปวดทรมานนั้นออกมาได้ ต่อจากนั้นก็มายืนร้องไห้ดูร่างของตนเองห้อยต่องแต่ง ไม่นานก็มีคนเข้ามายืนล้อมร่างของเธออยู่เต็มไปหมด ต่อมาก็มีญาติพี่น้อง พ่อแม่ มากอดร่างเธอร้องไห้ปานจะขาดใจตายตามไปด้วย

          ช่วงที่เห็นใครต่อใครกำลังร้องห่มร้องไห้กันอยู่นั้น ในความรู้สึกของเธอเที่ยวไปสะกิดพูดบอกกับเขาไปทั่วว่า เธอยังไม่ตาย เธอยังอยู่ใกล้ๆนี้ แต่ก็ไม่มีใครได้ยิน ไม่มีใครสนใจเลย ทุกคนสนใจกันแต่ร่างกายของเธอ

          หลังจากตำรวจมาดูๆแล้ว ก็จดอะไรไปเรียบร้อยแล้ว ก็มีคนมาเอาร่างของเธอห่อผ้าขาวแล้วพาขึ้นรถไปไหนก็ไม่รู้ เป็นตึก จากนั้นก็มีคนเอาร่างเธอออกแล้วก็แก้ผ้าแก้ผ่อนออกจากร่างเธอหมด แล้วเอามีดกรีดลงไปที่ร่างเธอ เขากรีดลงไปทั้งๆที่เธอก็ยังยืนดูอยู่ใกล้ๆ เธอพยายามร้องห้ามไม่ให้คนเขากรีดผ่าร่างเธอ แต่ก็ไม่มีใครสนใจ เขากรีดเขาดึงอย่างไม่ปรานีเธอเลย ต่อจากนั้นเขาก็เอาร่างเธอไปวัด

          ในช่วงที่เอาร่างเธอไปวัดนั้น เธอวิ่งตามพ่อแม่ไปติดๆ ขึ้นรถก็ขึ้นด้วย ทุกครั้งที่เธอวิ่งขึ้นรถเธอจะถูกใครก็ไม่รู้ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนมาคอยผลักดันไม่ให้เธอขึ้นรถทุกที แต่ก็ขึ้นไปได้ทุกครั้งที่พ่อแม่ชวนให้ขึ้นตามไปด้วย

          ช่วงที่พ่อหรือแม่ไม่ได้พูดชวนให้เธอขึ้นรถตามไปด้วย เธอก็จะขึ้นรถไม่ได้ จะมีคนแปลกหน้ามาผลักดันไม่ให้เธอขึ้นรถทุกครั้ง

          เธอตามพ่อแม่กลับไปถึงบ้าน ก็เห็นคนมากันมากมายเต็มบ้านไปหมด แต่เธอเข้าบ้านไม่ได้อีก มีคนแปลกหน้ามาขวางกั้นไว้ไม่ให้เธอเข้า เธอก็พยายามจะเข้าบ้านให้ได้ เธอโต้เถียงทะเลาะกับพวกคนแปลกหน้ากันอยู่นาน เธอบอกกับคนแปลกหน้าว่า นี่บ้านของเธอทำไมเธอจะเข้าไม่ได้ คนแปลกหน้าก็ไม่ยอมฟังอะไร พยายามกีดกันกั้นไม่ให้เธอเข้าอยู่นั่นเอง จนพ่อมาดจุดธูปอยู่หน้าบ้านนั่นแหละ พวกคนแปลกหน้าถึงให้เธอเข้าบ้านได้

          พอเข้าบ้านได้ เธอก็เดินไปทักคนที่ตัวเองรู้จักไปทั่ว แต่ก็ไม่มีใครสนใจที่จะมาพูดกับเธอ ทำให้เธอเสียใจมาก เธอเดินร้องไห้ตลอดเวลา พอตกกลางคืนเธอก็ติดตามพ่อไปที่วัดที่เขาเอาร่างเธอไปไว้ พอถึงเวลาที่พระท่านสวด เธอก็ได้รับการต้อนรับจากคนแปลกหน้าอีกพวกหนึ่งเป็นอย่างดีให้เข้าไปนั่งฟังพระสวด โดยเธอเข้าไปนั่งตรงข้ามด้านหนึ่งของโลงศพที่เขาเอาร่างเธอใส่ไว้ แล้วฟังการสวดของพระ

          คำที่พระท่านสวด ท่านสวดสอนให้เธอทำแต่ความดี แล้วนอกจากนั้นก็สวดเล่าถึงพระพุทธเจ้าว่าท่านทำดีอะไรมาบ้างคำสวดตอนท้ายๆจะบอกให้เธอเข้าใจว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา ถึงเวลาหนึ่งคนทุกคนก็ต้องทิ้งร่างกายไปด้วยกันทุกคน สังขารไม่มี มีเกิดขึ้นแล้วก็ละลายหมดไป ไม่มีอะไรเหลือให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างเราอีกต่อไปเป็นธรรมดา

          พอเธอฟังพระท่านสวดแล้ว เธอก็ค่อยๆนึกออกว่า เธอได้ตายจากร่างเธอมาแล้ว เธอไม่สามารถจะกลับเข้าไปอยู่ในร่างของเธอได้อีกแล้ว เธอร้องไห้เสียใจที่ต่อไปนี้เธอจะต้องออกจากร่างของเธอ เสียดายที่จะต้องจากพ่อจากแม่ เพื่อนฝูงที่เธอรักไปอย่างไม่มีโอกาสที่จะได้พบกันอีกชั่วนิรันดร์ ต่อจากนั้นเธอก็ไปเที่ยวเยี่ยมเยียนอำลาใครต่อใครไปทั่ว

          เวลาเธอหิวเธอจะรู้สึกหิวแบบโหยๆอย่างไรบอกไม่ถูก ในระหว่างที่หิว

โหย เธอเห็นหมดว่าเขาเอาอาหารการกินไว้ตรงไหน แต่เธอหยิบกินเองไม่ได้ พอเอื้อมมือไปหยิบอาหารที่เห็นอยู่ใกล้ๆ ก็หยิบไม่ถึง คือ เห็นอยู่ใกล้ๆ แต่กลับอยู่ไกลสุดเอื้อม

          เวลาหิวน้ำเห็นไหลลงมา แต่พออ้าปากรองรับน้ำกิน น้ำกลับไม่มีไหลลงเข้าปากเลยสักหยด จะมากินอาหารและน้ำได้ก็ตอนที่พระท่านฉันอาหาร และที่ญาติพี่น้องหรือพ่อแม่ท่านเรียกให้กินเท่านั้น เรียกให้กินในที่นี้ หมายถึง การกรวดน้ำอุทิศแผ่ส่วนกุศลมาให้นั่นแหละ

          เธอมีกินอุดมสมบูรณ์อยู่ปีกว่า ต่อจากนั้นเธอก็อดอยากหิวโหยและได้รับทุกข์ทรมานมาตลอด ไปไหนก็ต้องหลบๆซ่อนๆ เขาไป จะถูกวิญญาณในโลกวิญญาณด้วยกันคอยกลั่นแกล้งรังแกตลอดเวลา บางทีไปเจอกับคนที่มีวิชา เธอก็ต้องหลบซ่อนเขาด้วยความกลัว แค่เห็นหน้าเขาก็รู้สึกเกรงกลัวเขาขึ้นมาแล้ว พอไปเจอพระเจอเณร เธอก็จะวิ่งเข้าไปกราบ วิงวอนขอให้ท่านช่วยให้ได้พบพ่อแม่ ญาติพี่น้อง

          เธอบอกว่า เธอลืมหมด ลืมบ้าน ลืมหน้าตาพ่อแม่พี่น้องทุกคน เธอจำหน้าใครไม่ได้เลย

          วิญญาณของน้องแตนยังเล่าต่อไปอีกว่า มิติของโลกวิญญาณกับโลกที่มนุษย์อยู่ มันก็อยู่ด้วยกันนี่แหละ แต่มองเห็นต่างกัน เช่น ตอนที่เป็นมนุษย์ มนุษย์จะมองอะไรไม่เห็นในโลกของวิญญาณ แต่วิญญาณมองเห็นมนุษย์ทุกคน

          มนุษย์พูดภาษามนุษย์เหมือนอย่างที่พูดกันอยู่ในแต่ละประเทศ วิญญาณในโลกของวิญญาณจะฟังกันไม่รู้เรื่อง เขาจะรู้ว่ามนุษย์พูดกับเขา แต่เขาไม่รู้ภาษา เขาก็ต้องเดาเอาเองเหมือนกันกับคนเราพูดกับคนต่างชาติต่างภาษากันนั่นแหละ

          ภาษาที่วิญญาณในโลกวิญญาณเขาจะฟังกันรู้เรื่องและเข้าใจ ก็มาภาษาคูโบ๊ต สันสกฤต มคธหรือภาษาบาลีเท่านั้น

          แต่ความจริงแล้วในโลกวิญญาณ เขามีภาษาประจำโลกวิญญาณของเขาอยู่แล้ว คือ ภาษาที่คนทรงเจ้าเขาเรียกันว่า ภาษาเทพนั่นแหละ แต่ภาษาเทพจริงๆ มนุษย์ธรรมดาๆก็ฟังของเขาไม่รู้เรื่องอีกนั่นแหละ ที่มนุษย์สามารถพูดกับโลกวิญญาณเขารู้เรื่องบ้าง ก็เพราะในภาษาพูดของคนไทย เราก็มีภาษามคธ ตลอดทั้งภาษาสันสกฤตและบาลีรวมกันอยู่ด้วยนั่นเอง

          เรามาเปรียบเทียบการเห็นระหว่างโลกมนุษย์กับโลกวิญญาณ เหมือนการดูทีวีแล้วกัน เรานั่งดูทีวี เรามองเห็นคนในทีวี แสดงอะไร เล่นอะไร พูดอะไรกันได้หมด พูดอะไรกันก็ได้ยิน แต่คนในทีวีเขามองเราไม่เห็น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามีใครมองเขาอยู่บ้าง เราลองพูดกับทีวีดูสิว่าคนในทีวีเขาได้ยินกันบ้างไหม นี่เป็นการเปรียบเทียบมิติระหว่างโลกของวิญญาณกับโลกมนุษย์นะครับ

          การพูดการติดต่อระหว่างคนกับวิญญาณ จะพูดกันได้ ติดต่อกันได้ก็ต้องอาศัยเครื่องมือพิเศษเช่นกัน เครื่องมือพิเศษที่ว่านี้ ก็คือการส่งพลังจิตไงล่ะ

 

          ในช่วงท้ายๆวิญญาณของน้องแตนก็บอกว่า ที่เขากลับมาเจอญาติพี่น้องเขาได้อีก ก็เพราะอาจารย์วัลลภเปิดแสงสว่างให้เดินตามทางมา เดินมาจนได้พบกับญาติพี่น้องอีกนั่นแหละ

          ก่อนที่วิญญาณน้องแตนจะจากไป น้องแตนได้วิงวอนขอให้พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ช่วยทำบุญทำกุศลอุทิศให้เธอบ้าง อีกหลายปีในเมืองมนุษย์วิญญาณของเธอจึงจะจากไปอยู่ภพอื่นได้ เธอไม่อยากอดอยากหิวโหยทรมานอย่างแสนสาหัสอีก

          คนติดคุกยังมีหลวงเลี้ยง แต่เป็นวิญญาณไม่มีใครทำส่งไปให้ก็ไม่ได้กิน ต้องอดๆอยากๆ ในช่วงที่วนเวียนอยู่ในโลกวิญญาณ เพื่อรอการส่งไปเสวยผลกรรมดี กรรมชั่วในนรก สวรรค์ หรือส่งกลับมาเกิดใหม่ในโลกมนุษย์อีกนั้นหากเคยสร้างบุญทำกุศลไว้บ้าง ก็รู้สึกหิวโหยนิดหน่อย ไม่ทรมานอะไร แต่ถ้าไม่เคยสร้างบุญทำกุศลอะไรไว้เลย ก็จะรู้สึกหิวโหยรุนแรงตลอดเวลา

          พออาจารย์วัลลภถามวิญญาณน้องแตนว่า จะให้พ่อแม่ญาติพี่น้องเขาสร้างพระประธานแทนตัวไปให้เอาไหม?

          น้องแตนในร่างคุณละอองก็หัวเราะ พร้อมทั้งร้องไห้ด้วยความดีใจ ตอบว่า เอา…เอา แล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่นาน

          พอเธอเริ่มสงบจิตได้ เธอก็บอกว่า ถ้าพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เขาสร้างพระประธานไปให้ เขารู้ขึ้นมาด้วยจิตทิพย์ของโลกวิญญาณว่า เขาสิ้นวิบากกรรมแล้ว เขาจะได้กลับไปเกิดเป็นผู้ชายในโลกมนุษย์อีก

         นี่เอง…อาจารย์วัลลภถึงแนะนำให้คนสร้างแต่พระประธานแทนตัวให้เจ้ากรรมนายเวรอยู่เสมอ เพราะท่านรู้ว่าถ้าใครสร้างพระประธานแทนตัว หากเกิดใหม่จะได้กลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ผู้ชายนั่นเอง

          คนเราเกิดมาเป็นผู้ชาย ถึงจะได้รับทุกข์ทรมานจากผลกรรมอย่างไร ก็จะรับทุกข์ทรมานน้อยกว่าที่จะเกิดมารับทุกข์ทรมานที่เกิดมาเป็นผู้หญิงหลายเท่า เป็นผู้หญิงมีสุขภาพอ่อนแอไม่แข็งแรงเหมือนผู้ชาย เกิดเป็นผู้หญิงต้องมารับการทรมานจากการเกิดของมนุษย์คราวละตั้ง 9 เดือน มีเรื่องให้เจ็บโน่นเจ็บนี่ไม่มีที่สิ้นสุด ต้องผูกพันธ์อยู่กับภาระมากกว่าผู้ชาย

          คิดแล้วมนุษย์เกิดมามีกรรมด้วยกันทั้งหญิงและชาย แต่ผู้หญิงรับกรรมหนักกว่าผู้ชาย เวลาจะสร้างบุญทำกุศลอะไรให้ตัวเองบ้าง โอกาสก็มีน้อยกว่าผู้ชาย ผู้ชายสามารถสร้างบุญทำกุศลต่างๆเหมือนที่ผู้หญิงเขาทำกัน แล้ว ผู้ชายยังได้เปรียบ บวชเป็นพระสงฆ์องค์เณรได้ มีทางให้เดินไปสู่สวรรค์นิพพานได้ง่ายกว่าผู้หญิง ดังนั้นการทำให้ผู้หญิงเปลี่ยนภพเปลี่ยนเพศเป็นผู้ชายได้ ก็นับว่าเป็นบุญเป็นกุศลได้ทางหนึ่งเหมือนกัน อาจารย์วัลลภกล่าว


22 มีนาคม 2568

ผู้ชม 34 ครั้ง

Engine by shopup.com