โหราศาสตร์
โหราศาสตร์
"ชีวิตในหลายมิติ: การเปิดเผยความลับแห่งจักรวาลผ่านโหราศาสตร์
ก. ทั่วไป
ชีวิตของมนุษย์นั้น มิได้เป็นเพียงเส้นทางที่เดินไปตามสายตาที่มองเห็นในทุกวัน แต่มันคือการผจญภัยในดินแดนที่เต็มไปด้วยความลึกลับและปรากฏการณ์ที่เราต้องเรียนรู้ เพื่อค้นหาความหมายที่ซ่อนอยู่ในแต่ละช่วงเวลา ทว่าในวิชาโหราศาสตร์ ที่ถูกสืบทอดและพัฒนาเรื่อยมานั้น เรามิอาจละเลยในสิ่งที่ลึกลับและซับซ้อนที่ซ่อนอยู่ภายในมัน การพยากรณ์ชีวิตด้วยโหราศาสตร์ไม่เพียงแต่เป็นการดูดวงชะตาผู้คนเท่านั้น หากแต่เป็นการล่องลอยไปในวิถีแห่งสัจธรรมของจักรวาล ที่ทั้งมีทั้งแสงและเงาในแต่ละมิติของการดำรงอยู่
"ทะสา" (DASA) คือทางเข้าสู่การเปิดประตูแห่งการรู้แจ้งในสมัยต่าง ๆ ซึ่งแม้ว่าเราจะเห็นว่ามันอาจจะเป็นเพียงรูปแบบของการทำนายที่ถูกจำกัดในกรอบของเวลาและทิศทางที่แยกออกเป็นหลายทาง แต่ในความซับซ้อนนั้นกลับมีความงดงามในการใช้ชีวิต เมื่อวิธีง่าย ๆ กลับทำให้เราเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว แต่ในขณะที่วิธีที่ซับซ้อนนั้น แม้ว่าจะให้ผลลัพธ์ที่สูงกว่า กลับไม่ได้รับความเข้าใจจากผู้คนทั่วไป การเดินทางของชีวิตนั้นเหมือนการบรรจบของสองขั้ว ซึ่งความเข้าใจในวิธีง่ายๆ จะทำให้เราก้าวไปถึงเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วกว่า
โดยที่ทุกวันนี้การพยากรณ์ที่เข้ามาในรูปแบบ "จรสุริยคติ" คือการคาดการณ์ที่ยิ่งล้ำลึก มันยึดหลัก “หนึ่งวัน คือ หนึ่งปี” ซึ่งเป็นการเปิดตำนานแห่งความเป็นไปของชีวิต ซึ่งนับเป็นหนึ่งในวิธีที่ทันสมัยและสามารถสะท้อนความเป็นจริงในทุกชั่วโมงของการดำเนินชีวิต
ข. มิติต่าง ๆ ของชีวิต
ในโลกแห่งความเป็นจริงที่ซับซ้อนนี้ คำว่า “มิติ” ไม่อาจถูกจับต้องหรืออธิบายได้ง่าย ๆ ด้วยเหตุผลที่ว่า เราไม่ได้อยู่ในโลกที่สามารถตัดสินด้วยขนาดเพียงอย่างเดียว เพราะ “มิติ” ในทางปรัชญาและโหราศาสตร์นั้นมันคืออะไรที่ไม่เคยมีขอบเขตที่แน่นอน มันคือหลุมดำที่ดูดเอาความเป็นจริงที่เรารับรู้ทั้งหมดเข้าไป มิติเหล่านี้ไม่สามารถแยกจากกันได้ ทุกมิติของชีวิตที่ทออยู่ในผืนผ้าแห่งจิตวิญญาณมนุษย์ล้วนแต่หลอมรวมกันและส่องแสงไปในทางเดียวกัน
แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง โลกแห่งการศึกษาผ่านโหราศาสตร์นั้นต้องการการใช้ดาวพระเคราะห์เป็นตัวแทนของมิติต่าง ๆ ซึ่งบางมิติอาจแสดงถึงการต่อสู้ บางมิติแสดงถึงการสร้างความสัมพันธ์ หรือบางมิติแสดงถึงการยกระดับจิตวิญญาณ มิติพฤหัส, มิติเสาร์, มิติอาพอลลอน ทั้งหมดนี้คือตัวแทนของความเป็นจริงที่ซับซ้อนของชีวิตที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ลองจินตนาการถึงชีวิตของทหารผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งชีวิตของเขาไม่ได้เป็นแค่เส้นทางตรง แต่มันเต็มไปด้วยมิติที่ซับซ้อน โดยที่แต่ละมิติที่ประกอบขึ้นนั้นมีดาวพระเคราะห์ เช่น อังคาร พฤหัส โครโนส วัลคานุส ทำให้ชีวิตของเขามีรูปร่างที่ชัดเจนและแตกต่างจากบุคคลทั่วไป เพราะทหารมีการดำเนินชีวิตที่ซ่อนอยู่ในหลายมิติที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ นี่คือการแสดงออกของ "ชีวิตที่ซับซ้อนในหลายมิติ" ซึ่งเป็นความจริงที่โหราศาสตร์พยายามจะเปิดเผย
ค. ความเป็นไปในชีวิต
ชีวิตของเรานั้นไม่ได้เดินไปในทิศทางเดียว หากแต่เป็นการเดินทางที่ประกอบไปด้วยหลายเส้นทางที่เชื่อมโยงกัน เมื่อเรามองชีวิตเพียงแค่จากมิติเดียว มันจะไม่สามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันได้ จำเป็นต้องมองจากหลายมุมมอง เพื่อให้สามารถเปิดเผยความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่ในทุกๆ ช่วงเวลา
การพยากรณ์ชีวิตในทางโหราศาสตร์จึงไม่ได้มีเพียงแค่การมองตามเส้นทางเดียว แต่ต้องเป็นการวิเคราะห์ที่มองผ่านหลายมิติ ประกอบกันเป็นภาพที่สมบูรณ์ เพื่อให้สามารถเข้าใจชีวิตได้อย่างถูกต้อง ทุกมิติของชีวิตนั้นเชื่อมโยงกัน หากเรามองชีวิตในหลายมุม เราจะเห็นความซับซ้อนที่ไม่อาจบรรยายได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ
ง. สรุป
ชีวิตของมนุษย์นั้นไม่สามารถแยกออกจากมิติที่ซับซ้อนที่หลอมรวมกันเป็นคอมเพล็กซ์ที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยเหตุผลแบบธรรมดา การพยากรณ์ในโหราศาสตร์คือการมองความเป็นไปในหลายๆ ด้าน ซึ่งต้องพิจารณาจากดาวพระเคราะห์เพียงไม่กี่ดวงก็สามารถสะท้อนความเป็นไปของชีวิตได้
นักโหราศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญสามารถอ่านเส้นทางชีวิตของบุคคลจากมิติที่สำคัญในดวงชะตา ซึ่งบางครั้งอาจเป็นการพยากรณ์ที่เต็มไปด้วยความพิสดาร แปลกใหม่ และยากที่จะหาคำอธิบายที่ตรงไปตรงมา แต่สิ่งเหล่านี้คือความจริงที่ชีวิตเราต้องเผชิญ ในที่สุดแล้วชีวิตคือความเชื่อมโยงระหว่างทุกมิติ ที่ไม่อาจแยกจากกันได้แม้แต่วินาทีเดียว
ชีวิตคือการเดินทางในจักรวาลที่ซับซ้อนซึ่งเราต้องเรียนรู้และยอมรับความจริงของมัน ทว่าภายในความซับซ้อนนั้นมีความสวยงามที่แฝงอยู่ในทุกมิติ ทุกช่วงเวลา เราทุกคนต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของความงามนั้น
สีแห่งพลังลึกลับ: การเชื่อมโยงสีสันกับชีวิตและจักรวาล
ทุกคนคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "สี" สามารถส่งผลต่ออารมณ์และพฤติกรรมของเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่คุณเคยสงสัยไหมว่า สีไม่เพียงแต่ส่งผลต่อจิตใจและร่างกายของเราในระดับพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังสามารถเชื่อมโยงกับจักรวาลและการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในทางลึกซึ้งกว่าที่เราคิด?
การทดลองที่พลิกโลก: สีและผลกระทบที่มนุษย์ไม่เคยรู้
ผลการทดลองจากออสการ์ การเซอร์ (Oskar Ganser) นักวิจัยชื่อดังในศาสตร์แห่งสี ได้เปิดเผยผลลัพธ์ที่ไม่ธรรมดาเกี่ยวกับอิทธิพลของสีที่มีต่อสิ่งมีชีวิต และพืชพันธุ์ที่เรารู้จักกันดี สู่โลกแห่งความลึกลับของธรรมชาติที่เราไม่เคยตระหนักถึงมาก่อน สีของแสงที่ตกกระทบพื้นผิวสามารถเร่งการเติบโตของพืชได้อย่างมหาศาล หรือในทางตรงกันข้ามทำให้มันเหี่ยวเฉาและตายไปได้อย่างรวดเร็ว สีไม่เพียงแค่เป็นเรื่องของความงามภายนอก แต่ยังแฝงไปด้วยพลังที่มีผลต่อสุขภาพและชีวิตของเราโดยตรง
สีที่เราสัมผัส: สัญญาณจากจักรวาล
หนึ่งในตัวอย่างที่ท่านออสการ์ การเซอร์ได้พิสูจน์คือผลกระทบของสีต่างๆ ต่อพืชตระกูลถั่ว สีโรซ่า (rosa) หรือสีชมพูอ่อนช่วยให้พืชเติบโตได้เร็วกว่าเมื่อเทียบกับการปลูกในแสงแดดธรรมดาถึงสามเท่า ขณะที่สีอื่นๆ เช่น น้ำเงินและเทาเงินกลับทำให้พืชโตช้าและมีอายุสั้นลง พืชพันธุ์เหล่านี้ไม่เพียงแต่เติบโตภายใต้แสงสีต่างๆ ได้ดีหรือแย่เท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่า สีสามารถมีอิทธิพลต่อชีวิตในทุกระดับ ทั้งในแง่ของการเจริญเติบโตของพืชหรือแม้กระทั่งความยืดหยุ่นของชีวิตมนุษย์เอง
ในทางโหราศาสตร์ สีเหล่านี้ไม่ได้ถูกมองข้ามไปจากพลังของดาวพระเคราะห์ที่ควบคุมชีวิตและกรรมของเรา ดาวพระเคราะห์ที่เชื่อมโยงกับพืชตระกูลถั่วคือ ดาวศุกร์ และ ดาวจันทร์ ซึ่งในโหราศาสตร์จะมีสีที่เกี่ยวข้องเช่น น้ำเงิน, เขียวอ่อน, ขาว และโรซ่า การที่สีเหล่านี้สามารถกระตุ้นพืชให้เติบโตอย่างรวดเร็วหรือช้าได้ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์: การปลูกพืชตามสีของดาว
การทดลองที่เกิดขึ้นยังขยายไปถึงการปลูกสตรอเบอรี่และหอม ซึ่งมีผลกระทบชัดเจนจากการใช้แสงสีต่างๆ สตรอเบอรี่ที่ปลูกในแสงสีขาว, แดง หรือโรซ่าจะเติบโตได้ดีและให้ผลผลิตที่ดีกว่า การปลูกในแสงสีเขียวอ่อนหรือน้ำเงินอ่อน ซึ่งให้ผลผลิตช้าหรือผลขนาดเล็กมาก นี่เป็นการบ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างสีและพลังของจักรวาลที่เรามองไม่เห็น
สีแห่งชีวิต: กรรมและดาวพระเคราะห์
เมื่อพูดถึง "กรรม" ในศาสตร์โหราศาสตร์ เรามักจะเห็นดาวพระเคราะห์ที่มีบทบาทในการกำหนดโชคชะตาของเรา ขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่ภายใต้อิทธิพลของดาวใด สีที่เกี่ยวข้องกับกรรมแต่ละประเภทก็เช่นกัน โดยแบ่งออกเป็น กายกรรม, วจีกรรม, และ มโนกรรม สีที่สัมพันธ์กับแต่ละกรรมจะมีผลกระทบต่อลักษณะชีวิตและความสำเร็จของเรา
- กายกรรม (อังคาร) จะตรงกับสี แดง ซึ่งเชื่อมโยงกับพลังแห่งชีวิตและการกระทำ
- วจีกรรม (พุธ) จะตรงกับสี เหลือง ที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารและคำพูด
- มโนกรรม (ศุกร์) จะตรงกับสี น้ำเงิน ที่เชื่อมโยงกับจิตใจและความรู้สึก
สีเหล่านี้คือ "แม่สี" ที่จักรวาลได้สร้างมาเพื่อให้เราเข้าใจถึงพลังที่มีต่อชีวิต แต่ไม่ใช่แค่ในแง่ของความสวยงามเท่านั้น ยังเป็นการแสดงออกของการดำเนินชีวิตที่สะท้อนถึงกรรมที่เราได้รับมา
การค้นหาความสุขและความทุกข์ในสี
สีที่เกี่ยวข้องกับ ความสุข และ ความทุกข์ ก็สามารถพบได้จากการผสมของสีต่างๆ ตามที่โหราศาสตร์บอกว่า พฤหัสบดี (ดาวแห่งความสุข) และ เสาร์ (ดาวแห่งความทุกข์) สามารถสื่อถึงพลังจากสีที่ผสมกันอย่างลงตัว
- สีแห่งความสุข จะเป็นสีม่วง ซึ่งได้จากการผสมของ แดง และ น้ำเงิน
- สีแห่งความทุกข์ จะเป็น สีดำ ซึ่งผสมจากทั้งสามสีหลักที่กล่าวถึงแล้ว
การเข้าใจว่าแต่ละสีมีอิทธิพลต่อชีวิตอย่างไร ทำให้เราตระหนักถึงพลังที่มีอยู่รอบตัวเรา สีเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่การตกแต่งหรือเสริมความสวยงาม แต่คือพลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราในทิศทางที่ดีหรือร้ายตามสิ่งที่เราเลือกเชื่อมโยงกับมัน
บทสรุป: สีในชีวิตของเรา
สุดท้ายนี้ เราจึงเห็นได้ชัดว่า สีไม่ใช่เพียงแค่สิ่งที่ตามองเห็นหรือรู้สึกถึงในระดับผิวเผิน แต่เป็นพลังที่มีผลกระทบต่อชีวิตในทุกๆ ด้าน ตั้งแต่พืชพันธุ์ที่เราเห็นเติบโตในสวน จนถึงอารมณ์และโชคชะตาของมนุษย์ สีคือรหัสแห่งจักรวาลที่ทำให้เราต้องตระหนักถึงพลังแห่งธรรมชาติที่อยู่ใกล้ตัวเรา เพียงแค่เรามองให้ลึกซึ้งขึ้น
สีจะเป็นพลังที่เสริมสร้างหรือทำลายชีวิตของเรา ขึ้นอยู่กับการเลือกและการตระหนักรู้ในพลังของมัน
การเรียบเรียงนี้นำเสนอเนื้อหาในมุมมองที่ลึกซึ้งขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มความน่าสนใจให้กับการเชื่อมโยงสีในธรรมชาติกับชีวิตมนุษย์และโหราศาสตร์ครับ
วงรอบธุรกิจและจังหวะ 7 ของฟ้า: ศาสตร์ที่ลึกซึ้งสู่ความสำเร็จที่เหนือกว่าความคาดหมาย
พระสุบินประหลาดของพระเจ้าฟาโรห์
กว่าพันปีก่อนในอียิปต์โบราณ พระเจ้าฟาโรห์ทรงได้รับพระสุบินที่ไม่เหมือนใคร เมื่อพระองค์เห็นวัวอ้วนพี 7 ตัว เดินขึ้นจากแม่น้ำไนล์ ก่อนจะมีวัวผอมโซ 7 ตัวตามมาและกินวัวที่มีสุขภาพดีเหล่านั้นจนหมดสิ้น และไม่นานหลังจากนั้นยังปรากฏรวงข้าว 7 รวงที่เริ่มทานรวงข้าวที่สมบูรณ์และกำลังจะกลายเป็นรวงข้าวลีบและแห้งไปหมด ความฝันอันแปลกประหลาดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะโหรโยเซฟซึ่งเป็นผู้ทำนายเหตุการณ์ในราชสำนักได้ให้คำทำนายว่า มันเป็นสัญญาณของปีที่ดี 7 ปี และปีที่แย่ 7 ปี ที่จะมาถึง
โหรโยเซฟได้เสนอแนวทางการรับมือโดยแนะนำให้เก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงปีที่แม่น้ำไนล์ท่วมจนล้น เพื่อเตรียมรับมือกับปีที่ขาดแคลนและแห้งแล้ง 7 ปีที่จะตามมา หลังจากนั้น พื้นดินที่เคยถูกน้ำท่วมก็เริ่มมีผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์ ขณะที่ประเทศใกล้เคียงประสบปัญหาความอดอยาก อียิปต์กลับเจริญรุ่งเรืองจากการค้าและการขึ้นราคาเพื่อส่งออก
จังหวะ 7: วงรอบพื้นฐานของโลก
เลข 7 เป็นตัวเลขที่ไม่ธรรมดา มันไม่ได้แค่แสดงถึงความดีและร้ายในวงจรชีวิตตามที่เราคุ้นเคยกับคติ “ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน” เท่านั้น แต่ในเชิงวิญญาณและจักรวาลศาสตร์ เลข 7 มีความศักดิ์สิทธิ์ในศาสนายิวและยังสะท้อนถึงการสร้างจักรวาลจากพระผู้เป็นเจ้า
"เจ็ดและไม่ใช่หก" หรือ "เจ็ดและไม่ใช่แปด" ที่ปรากฏในคัมภีร์แคบบาลา (Cabbala) ทำให้เราตระหนักว่า เลข 7 คือเลขที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้เป็นสัญลักษณ์ของการสร้างจักรวาล 7 วัน รวมถึงดาวพระเคราะห์ 7 ดวงและทวาร 7 ของร่างกายมนุษย์ที่เชื่อมโยงกับการดำรงชีวิตของเรา
ทั้งนี้ตามความเชื่อของชาวคาลเดียนและชาวบาบิโลเนีย พวกเขาสังเกตว่าโลกมีวงรอบที่คล้ายคลึงกันทุกๆ 7 ปี และพวกเขาสร้างกำแพง 7 ชั้นรอบเมืองบาบิโลน เพื่อตามการเคลื่อนไหวของดาวแต่ละดวง สีของกำแพงแต่ละชั้นสะท้อนถึงสีของดาวพระเคราะห์ที่สำคัญในชีวิต
การใช้จังหวะ 7 ในการพยากรณ์
จังหวะ 7 ไม่ได้มีเพียงแค่ในความเชื่อและคติธรรมดาเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในวิชาโหราศาสตร์ และสามารถใช้พยากรณ์ได้อย่างแม่นยำหากเข้าใจวงจรนี้อย่างลึกซึ้ง ทุกๆ 7 ปี เรามักพบว่าเหตุการณ์ในชีวิตจะปรากฏขึ้นซ้ำๆ ในรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งจะพบได้ในทุกๆ วงจรชีวิตของมนุษย์และสรรพสิ่ง
การคำนวณจังหวะ 7 คือการสังเกตการเติบโตของชีวิต ซึ่งเปรียบเสมือนการเติบโตของต้นไม้ที่มีปล้อง เมื่อชีวิตเติบโตครบ 7 ปี เราจะพบว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เช่น อายุ 21 ปี หรือ 28 ปี จะเห็นได้ชัดว่าบุคลิกของบุคคลมีการเปลี่ยนแปลงและไปในทิศทางที่ใกล้เคียงกับช่วงวัยที่เป็นตัวเลข 7
จังหวะ 7 ทางปฏิบัติ
เมื่อพูดถึงการใช้จังหวะ 7 ในโหราศาสตร์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเข้าใจการเคลื่อนไหวของดาวพระเคราะห์และร่างกายมนุษย์ในแต่ละจังหวะการหมุนเวียน 7 ปี ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ทำนายไม่เฉพาะแค่ในด้านดาราศาสตร์ แต่ยังนำไปสู่การพยากรณ์ทางโหราศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในการใช้จังหวะ 7 ทางปฏิบัติจริง ๆ เรามักใช้ในหลายรูปแบบ เริ่มจาก การใช้แบบนักคำนวณ โดยการคำนวณเลขที่เกี่ยวข้องกับทิศทางของดาวและการขับเคลื่อนชีวิตตามการหมุนเวียนของโลก ส่วน การใช้แบบนักโหราศาสตร์ คือการพยากรณ์สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตอย่างละเอียด ซึ่งจำเป็นต้องมีความเข้าใจในเทคนิคและทฤษฎีต่างๆ ที่ซับซ้อน
ในมุมมองทางธุรกิจหรือการพยากรณ์อนาคตทางเศรษฐกิจ การเข้าใจจังหวะ 7 จะช่วยให้เราวางแผนธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น ยิ่งในยุคที่การตลาดและธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทุกการหมุนเวียนของวงจรชีวิตและธุรกิจ จะต้องมองให้ลึกไปถึงการปฏิบัติในจังหวะต่างๆ ตามระยะเวลา และการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในทุกๆ 7 ปี
สรุป
จังหวะ 7 ของฟ้า ไม่ใช่แค่ความเชื่อที่ปรากฏในพระสุบินของพระเจ้าฟาโรห์ แต่มันยังเป็นหนึ่งในหลักการสำคัญที่สามารถใช้ในการวิเคราะห์ธุรกิจและชีวิตของเราอย่างลึกซึ้ง การใช้จังหวะ 7 ไม่ใช่แค่การคำนวณในแง่ดาราศาสตร์หรือโหราศาสตร์ แต่เป็นการเข้าใจถึงความเป็นไปของโลกในแต่ละช่วงเวลา รวมถึงการปรับตัวให้เข้ากับโลกที่หมุนไปอย่างไม่หยุดยั้งและพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึง
"การทำนายจากจักรวาล: เมื่ออดีต, ปัจจุบัน และอนาคต กลับมาบรรจบกัน"
ในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับความร้อนระอุจากทั้งสถานการณ์สภาพอากาศและการเมือง การปะทุของเหตุการณ์ในต่างประเทศและในบ้านเรา ทำให้ทุกสิ่งดูเหมือนจะตึงเครียดจนแทบจะระเบิดออกมาเป็นไฟได้ตลอดเวลา บางครั้งเราหลายคนอาจรู้สึกสงสัยว่า บ้านเมืองของเรากำลังมุ่งไปทางไหน? ท่ามกลางความทุกข์ยากและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่เกิดขึ้นทั้งในระดับสังคมและการเมือง ผู้คนเริ่มตั้งคำถามกับความเป็นอยู่และทิศทางของประเทศว่า "นี่คือระบอบประชาธิปไตยที่เราเคยต่อสู้เพื่อมันมากี่ปี?"
สถานการณ์ภายในประเทศไม่ได้ต่างจากภายนอกเช่นกัน หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศทำให้เรารู้สึกสะเทือนใจ เช่น การวางระเบิด ปล่อยแก๊สพิษ การตายหมู่ หรือเหตุการณ์ทางการเมืองที่บานปลายไปในหลายประเทศ ไม่เว้นแม้แต่การเผายางรถยนต์ในภาคใต้ของประเทศไทย และที่ร้ายที่สุดยังมีการวางเพลิงที่ห้องทำงานผู้นำฝ่ายค้าน จนดูเหมือนว่าการจัดการความขัดแย้งได้กลายเป็นการเปิดศึกระหว่างม็อบชนม็อบที่ร้อนระอุและยากจะควบคุม
สิ่งเหล่านี้อาจทำให้หลายคนรู้สึกสับสนหรือกังวลกับอนาคตที่จะเกิดขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ที่คลุมเครือและไม่แน่นอนเช่นนี้ บางทีเราคงต้องหันมามองสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต เพื่อที่จะเข้าใจว่าเหตุการณ์ในปัจจุบันมีอะไรที่คล้ายคลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตบ้าง และถ้าเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นจะพัฒนาไปในทิศทางไหน?
"อดีต ปัจจุบัน อนาคต คือสิ่งเดียวกัน" เป็นสมการที่ผมพยายามใช้เพื่อทบทวนและทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต เราจะพบว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งสามารถเป็นตัวสะท้อนถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ เมื่อถึงวงรอบที่สำคัญในทางโหราศาสตร์ อดีตสามารถย้อนกลับมาหาเราอีกครั้ง ด้วยเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันในลักษณะที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ในปีนี้เอง ผมได้ค้นพบปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่น่าสนใจ ซึ่งสามารถใช้เป็นแม่บทในการทำนายเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ นั่นคือ วงรอบเมโทนเชอ (Meton Cycle) ซึ่งเป็นวงรอบของการโคจรของดวงจันทร์ที่สัมพันธ์กับดวงอาทิตย์ ทุกๆ 19 ปี ตำแหน่งของดวงอาทิตย์และจันทร์บนท้องฟ้าจะกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิมอย่างครบถ้วน แนวทางนี้ช่วยให้เราสามารถย้อนกลับไปดูเหตุการณ์สำคัญในอดีตที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน และเปรียบเทียบกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
วงรอบเมโทนเชอนี้ทำให้ผมย้อนกลับไปคิดถึงเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของไทย เช่น เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ซึ่งเป็นช่วงที่การเมืองไทยเกิดความปั่นป่วนและมีความรุนแรงจนถึงขั้นนองเลือด หากเราลองทบทวนดูเหตุการณ์ทั้งสอง เราจะพบว่าเหตุการณ์ทางการเมืองในช่วงนั้นมีความคล้ายคลึงกันอย่างน่าตกใจ ทั้งในแง่ของสถานที่ที่เกิดขึ้น และลักษณะของผู้มีบทบาทในเหตุการณ์เหล่านั้น
และถ้าเราตามหาวงรอบของเหตุการณ์สำคัญในปีนี้ วงรอบเมโทนเชออาจนำเรากลับไปสู่เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งเป็นช่วงที่การเมืองไทยมีความตึงเครียดสูงสุด สังคมแตกแยกออกเป็นสองขั้ว การประท้วงขับเคลื่อนด้วยกลุ่มต่างๆ และมีการใช้ความรุนแรงในการตอบโต้กัน จนทำให้เกิดการปฏิวัติทางการเมืองในที่สุด
การศึกษาเหตุการณ์ในอดีตโดยการเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในปีนี้ ทำให้เราสามารถเข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบันได้ดีขึ้น เหตุการณ์ในอดีตเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่เพื่อให้เราระลึกถึง แต่ยังสามารถทำให้เรามองเห็นแนวทางในการป้องกันและจัดการกับความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
ดังนั้น การที่เราใช้หลักการของวงรอบเมโทนเชอในการพิจารณาเหตุการณ์ปัจจุบัน ก็ไม่ใช่แค่การพยากรณ์ว่าเหตุการณ์จะไปในทิศทางไหน แต่ยังเป็นการเตือนให้เราตระหนักถึงบทเรียนในอดีต และสามารถนำมาใช้เพื่อการป้องกันไม่ให้ความรุนแรงในสังคมทวีความรุนแรงขึ้นอีกในอนาคต
สรุป: ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์และวงรอบเมโทนเชอช่วยให้เราสามารถทำนายได้ว่าเหตุการณ์ในปีนี้อาจจะคล้ายคลึงกับเหตุการณ์สำคัญในอดีตที่ผ่านมา การนำมุมมองทางโหราศาสตร์มาใช้ในการพยากรณ์สามารถทำให้เราเข้าใจถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองและสังคมในปัจจุบัน และเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างมีสติและมีการเตรียมตัว.
24 มีนาคม 2568
ผู้ชม 54 ครั้ง